ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่อง
PLC
2.1
ความหมายของ PLC
โปรแกรมเมเบิลลอจิกคอลโทรลเลอร์
(Programmable logic Control : PLC)
เป็นอุปกรณ์ควบคุมการทำงานของเครื่องจักรหรือกระบวนการทำงานต่างๆ โดยภายในมี
Microprocessor เป็นมันสมองสั่งการที่สำคัญ PLC
จะมีส่วนที่เป็นอินพุตและเอาต์พุตที่สามารถต่อออกไปใช้งานได้ทันที ตัวตรวจวัดหรือสวิทตช์ต่างๆ
จะต่อเข้ากับอินพุต
ส่วนเอาต์พุตจะใช้ต่อออกไปควบคุมการทำงานของอุปกรณ์หรือเครื่องจักรที่เป็นเป้าหมาย
เราสามารถสร้างวงจรหรือแบบของการควบคุมได้โดยการป้อนเป็นโปรแกรมคำสั่งเข้าไปใน
PLC
นอกจากนี้ยังสามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อื่นเช่นเครื่องอ่านบาร์โค๊ด
(Barcode Reader) เครื่องพิมพ์ (Printer)
ซึ่งในปัจจุบันนอกจากเครื่อง PLC
จะใช้งานแบบเดี่ยว (Stand alone) แล้วยังสามารถต่อ
PLC หลายๆ ตัวเข้าด้วยกัน (Network)
เพื่อควบคุมการทำงานของระบบให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วยจะเห็นได้ว่าการใช้งาน
PLC มีความยืดหยุ่นมากดังนั้นในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ
จึงเปลี่ยนมาใช้ PLC มากขึ้น
2.2
โปรแกรมเมเบิล ลอจิก คอนโทรลเลอร์ (PLC)
PLC เป็นอุปกรณ์ชนิดโซลิด –
สเตท (Solid State) ที่ทำงานแบบลอจิก
(Logic Functions) การออกแบบการทำงานของ PLC
จะคล้ายกับหลักการทำงานของคอมพิวเตอร์ จากหลักการพื้นฐานแล้ว
PLC จะประกอบด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า Solid-State
Digital Logic Elements เพื่อให้ทำงานและตัดสินใจแบบลอจิก
PLC
ใช้สำหรับควบคุมกระบวนการทำงานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ในโรงงานอุตสาหกรรม
การใช้ PLC
สำหรับควบคุมเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ต่างๆ
ในโรงงานอุตสาหกรรมจะมีข้อได้เปรียบกว่าการใช้ระบบของรีเลย์ (Relay)
ซึ่งจำเป็นจะต้องเดินสายไฟฟ้า หรือที่เรียกว่า Hard-
Wired ฉะนั้นเมื่อมีความจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนกระบวนการผลิต
หรือลำดับการทำงานใหม่ ก็ต้องเดินสายไฟฟ้าใหม่
ซึ่งเสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายสูง แต่เมื่อเปลี่ยนมาใช้ PLC
แล้ว
การเปลี่ยนกระบวนการผลิตหรือลำดับการทำงานใหม่นั้นทำได้โดยการเปลี่ยนโปรแกรมใหม่เท่านั้น
นอกจากนี้แล้ว PLC ยังใช้ระบบโซลิด –
สเตท ซึ่งน่าเชื่อถือกว่าระบบเดิม การกินกระแสไฟฟ้าน้อยกว่า
และสะดวกกว่าเมื่อต้องการขยายขั้นตอนการทำงานของเครื่องจักร
2.3
โครงสร้างของ PLC
PLC
เป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์สำหรับใช้ในงานอุตสาหกรรม PLC
ประกอบด้วย หน่วยประมวลผลกลาง หน่วยความจำ หน่วยรับข้อมูล
หน่วยส่งข้อมูล และหน่วยป้อนโปรแกรม PLC
ขนาดเล็กส่วนประกอบทั้งหมดของ PLC
จะรวมกันเป็นเครื่องเดียว แต่ถ้าเป็นขนาดใหญ่สามารถแยกออกเป็นส่วนประกอบย่อยๆ
ได้
หน่วยความจำของ PLC ประกอบด้วย หน่วยความจำชนิด RAM และ ROM หน่วยความจำชนิด RAM ทำหน้าที่เก็บโปรแกรมของผู้ใช้และข้อมูลสำหรับใช้ในการปฏิบัติงานของ PLC ส่วน ROM ทำหน้าที่เก็บโปรแกรมสำหรับใช้ในการปฏิบัติงานของ PLC ตามโปรแกรมของผู้ใช้ ROM ย่อมาจาก Read Only Memory สามารถโปรแกรมได้แต่ลบไม่ได้ ถ้าชำรุดแล้วซ่อมไม่ได้
หน่วยความจำของ PLC ประกอบด้วย หน่วยความจำชนิด RAM และ ROM หน่วยความจำชนิด RAM ทำหน้าที่เก็บโปรแกรมของผู้ใช้และข้อมูลสำหรับใช้ในการปฏิบัติงานของ PLC ส่วน ROM ทำหน้าที่เก็บโปรแกรมสำหรับใช้ในการปฏิบัติงานของ PLC ตามโปรแกรมของผู้ใช้ ROM ย่อมาจาก Read Only Memory สามารถโปรแกรมได้แต่ลบไม่ได้ ถ้าชำรุดแล้วซ่อมไม่ได้
1. RAM (Random Access Memory)
หน่วยความจำประเภทนี้จะมีแบตเตอรี่เล็กๆ ต่อไว้
เพื่อใช้เลี้ยงข้อมูลเมื่อเกิดไฟดับ การอ่านและเขียนโปรแกรมลงใน RAM
ทำได้ง่ายมาก
จึงเหมาะกับการใช้งานในระยะทดลองเครื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขโปรแกรมบ่อยๆ
2. EPROM (Erasable Programmable Read Only
Memory) หน่วยความจำชนิด EPROM
นี้จะต้องใช้เครื่องมือพิเศษในการเขียนโปรแกรม
การลบโปรแกรมทำได้โดยใช้แสงอัลตราไวโอเลตหรือตากแดดร้อนๆ นานๆ
มีข้อดีตรงที่โปรแกรมจะไม่สูญหายแม้ไฟดับ
จึงเหมาะกับการใช้งานที่ไม่ต้องเปลี่ยนโปรแกรม
3. EEPROM (Electrical Erasable Programmable
Read Only Memory)
หน่วยความจำชนิดนี้ไม่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษในการเขียนและลบโปรแกรม
โดยใช้วิธีการทางไฟฟ้าเหมือนกับ RAM
นอกจากนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีแบตเตอรี่สำรองไฟเมื่อไฟดับ ราคาจะแพงกว่า
แต่จะรวมคุณสมบัติที่ดีของทั้ง RAM และ EPROM
เอาไว้ด้วยกัน
รูปที่ 2.1 โครงสร้างของ PLC
2.4
ส่วนประกอบของ PLC
PLC แบ่งออกได้ 3 ส่วนด้วยกันคือ
1.ส่วนที่เป็นหน่วยประมวลผลกลาง (Control Processing Unit : CPU)
2.ส่วนที่เป็นอินพุต/เอาต์พุต (Input Output : I/O)
3.ส่วนที่เป็นอุปกรณ์การโปรแกรม (Programming Device)
PLC แบ่งออกได้ 3 ส่วนด้วยกันคือ
1.ส่วนที่เป็นหน่วยประมวลผลกลาง (Control Processing Unit : CPU)
2.ส่วนที่เป็นอินพุต/เอาต์พุต (Input Output : I/O)
3.ส่วนที่เป็นอุปกรณ์การโปรแกรม (Programming Device)
2.4.1 CPU
CPU
เป็นส่วนมันสมองของระบบ ภายใน CPU
จะประกอบไปด้วยวงจร Logic Gate ชนิดต่างๆ หลายชนิด
และมี Microprocessor-based
ใช้สำหรับแทนอุปกรณ์จำพวกรีเลย์ (Relay) เคาน์เตอร์
(Counter) ไทเมอร์ (Timer)
และซีเควนเซอร์ (Sequencers)
เพื่อให้ผู้ใช้ได้ออกแบบใช้วงจรรีเลย์แลดเดอร์ ลอจิก (Relay Ladder
Logic) เข้าไปได้
รูปที่
2.2 ส่วนประกอบของ CPU
CPU จะยอมรับ (Read)
อินพุต เดต้า (Input Data) จากอุปกรณ์ให้สัญญาณ
(Sensing Device) ต่างๆ
จากนั้นจะปฏิบัติการและเก็บข้อมูลโดยใช้โปรแกรมจากหน่วยความจำ
และส่งข้อมูลที่เหมาะสมถูกต้องไปยังอุปกรณ์ควบคุม (Control Device)
แหล่งของกระแสไฟฟ้าตรง (DC Current)
สำรับใช้สร้างโวลต์ต่ำ (Low Level Voltage)
ซึ่งใช้โดยโปรเซสเซอร์ (Processor) และไอโอ โมดูล
(I/O Modules) และแหล่งจ่ายไฟนี้จะเก็บไว้ที่
CPU
หรือแยกออกไปติดตั้งที่จุดอื่นก็ได้ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตแต่ละราย
การประมวลผลของ
CPU
จากโปรแกรมทำได้โดยรับข้อมูลจากหน่วยอินพุทและเอาท์พุท
และส่งข้อมูลสุดท้ายที่ได้จากการประมวลผลไปยังหน่วยเอาท์พุท เรียกว่า การสแกน
(Scan) ซึ่งใช้เวลาจำนวนหนึ่ง เรียกว่า เวลาสแกน
(Scan Time) เวลาในการสแกนแต่ละรอบใช้เวลาประมาณ 1 ถึง 100
msec. (0.001-0.1วินาที)
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อมูลและความยาวของโปรแกรม
หรือจำนวนอินพุท/เอาท์พุทหรือจำนวนอุปกรณ์ที่ต่อจาก PLC
เช่น เครื่องพิมพ์ จอภาพ เป็นต้น
อุปกรณ์เหล่านี้จะทำให้เวลาในการสแกนยาวนานขึ้น
การเริ่มต้นการสแกนเริ่มจากรับคำสั่งของสภาวะของอุปกรณ์จากหน่วยอินพุทมาเก็บไว้ในหน่วยความจำ
(Memory)
เสร็จแล้วจะทำการปฏิบัติการตามโปรแกรมที่เขียนไว้ทีละคำสั่งจากหน่วยความจำนั้นจนสิ้นสุด
แล้วส่งไปที่หน่วยเอาท์พุท ซึ่งการสแกนของ PLC
ประกอบด้วย
1. I/O Scan
คือ
การบันทึกสภาวะข้อมูลของอุปกรณ์ที่เป็นอินพุท และให้อุปกรณ์เอาท์พุททำงาน
2. Program Scan คือ การให้โปรแกรมทำงานตามลำดับก่อนหลัง
2. Program Scan คือ การให้โปรแกรมทำงานตามลำดับก่อนหลัง
2.4.2 ส่วนของอินพุตและเอาต์พุต (I/O Unit)
ส่วนของอินพุตและเอาต์พุต (I/O
Unit) จะต่อร่วมกับชุดควบคุมเพื่อรับสภาวะและสัญญาณต่างๆ เช่น
หน่วยอินพุตรับสัญญาณหรือสภาวะแล้วส่งไปยัง CPU
เพื่อประมวลผล เมื่อ CPU
ประมวลผลแล้วจะส่งให้ส่วนของเอาต์พุต เพื่อให้อุปกรณ์ทำงานตามที่โปรแกรมเอาไว้
สัญญาณอินพุตจากภายนอกที่เป็นสวิตช์และตัวตรวจจับชนิดต่างๆ
จะถูกแปลงให้เป็นสัญญาณที่เหมาะสมถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็น AC
หรือ DC เพื่อส่งให้ CPU
ดังนั้น สัญญาณเหล่านี้จึงต้องมีความถูกต้องไม่เช่นนั้นแล้ว
CPU จะเสียหายได้
สัญญาณอินพุตที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติและหน้าที่ดังนี้
1. ทำให้สัญญาณเข้า ได้ระดับที่เหมาะสมกับ PLC
2. การส่งสัญญาณระหว่างอินพุตกับ CPU จะติดต่อกันด้วยลำแสง ซึ่งอาศัยอุปกรณ์ประเภทโฟโตทรานซิสเตอร์เพื่อต้องการแยกสัญญาณ (Isolate) ทางไฟฟ้าให้ออกจากกัน เป็นการป้องกันไม่ให้ CPU เสียหายเมื่ออินพุตเกิดลัดวงจร
3. หน้าสัมผัสจะต้องไม่สั่นสะเทือน (Contact Chattering)
1. ทำให้สัญญาณเข้า ได้ระดับที่เหมาะสมกับ PLC
2. การส่งสัญญาณระหว่างอินพุตกับ CPU จะติดต่อกันด้วยลำแสง ซึ่งอาศัยอุปกรณ์ประเภทโฟโตทรานซิสเตอร์เพื่อต้องการแยกสัญญาณ (Isolate) ทางไฟฟ้าให้ออกจากกัน เป็นการป้องกันไม่ให้ CPU เสียหายเมื่ออินพุตเกิดลัดวงจร
3. หน้าสัมผัสจะต้องไม่สั่นสะเทือน (Contact Chattering)
ในส่วนของเอาต์พุต
จะทำหน้าที่รับค่าสภาวะที่ได้จากการประมวลผลของ CPU
แล้วนำค่าเหล่านี้ไปควบคุมอุปกรณ์ทำงาน เช่น รีเลย์ โซลีนอยด์ หรือหลอดไฟ
เป็นต้น นอกจากนั้นแล้ว ยังทำหน้าที่แยกสัญญาณของหน่วยประมวลผลกลาง
(CPU) ออกจากอุปกรณ์เอาต์พุต
โดยปกติเอาต์พุตนี้จะมีความสามารถขับโหลดด้วยกระแสไฟฟ้าประมาณ 1-2
แอมแปร์ แต่ถ้าโหลดต้องการกระแสไฟฟ้ามากกว่านี้
จะต้องต่อเข้ากับอุปกรณ์ขับอื่นเพื่อขยายให้รับกระแสไฟฟ้ามากขึ้น เช่น รีเลย์หรือคอนแทคเตอร์ เป็นต้น
อุปกรณ์ที่ใช้เป็นสัญญาณอินพุท ได้แก่ พรอกซิมิตี้สวิตช์(Proximility Switch) ลิมิตสวิตช์ (Limit Switch) ไทเมอร์(Timer) โฟโตอิเล็กืริกสวิตช์(Photoelectric Switch) เอนโค้ดเดอร์(Encoder) เคาน์เตอร์(Counter) เป็นต้น
อุปกรณ์ที่ใช้เป็นสัญญาณเอาท์พุท ได้แก่ รีเลย์(Relay) มอเตอร์ไฟฟ้า(Electric Motor) โซลินอยด์(Solenoid) ขดลวดความร้อน(Heat Coil) หลอดไฟ(Lamp) เป็นต้น
อุปกรณ์ที่ใช้เป็นสัญญาณอินพุท ได้แก่ พรอกซิมิตี้สวิตช์(Proximility Switch) ลิมิตสวิตช์ (Limit Switch) ไทเมอร์(Timer) โฟโตอิเล็กืริกสวิตช์(Photoelectric Switch) เอนโค้ดเดอร์(Encoder) เคาน์เตอร์(Counter) เป็นต้น
อุปกรณ์ที่ใช้เป็นสัญญาณเอาท์พุท ได้แก่ รีเลย์(Relay) มอเตอร์ไฟฟ้า(Electric Motor) โซลินอยด์(Solenoid) ขดลวดความร้อน(Heat Coil) หลอดไฟ(Lamp) เป็นต้น
1.43.เครื่องป้อนโปรแกรม
(Programming Device)
เครื่องป้อนโปรแกรม (Hand Held) ทำหน้าที่ ควบคุมโปรแกรมของผู้ใช้ลงในหน่วยความจำของ PLC นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ติดต่อระหว่างผู้ใช้กับ PLC เพื่อให้ผู้ใช้สามารถตรวจการปฏิบัติงานของ PLC และผลการควบคุมเครื่องจักรและกระบวนการตามโปรแกรมควบคุมที่ผู้ใช้เขียนขึ้นได้อีกด้วย
เครื่องป้อนโปรแกรม (Hand Held) แต่ละยี่ห้อจะไม่เหมือนกันแต่มีจุดประสงค์ในการใช้งานที่เหมือนกัน
เครื่องป้อนโปรแกรม (Hand Held) ทำหน้าที่ ควบคุมโปรแกรมของผู้ใช้ลงในหน่วยความจำของ PLC นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ติดต่อระหว่างผู้ใช้กับ PLC เพื่อให้ผู้ใช้สามารถตรวจการปฏิบัติงานของ PLC และผลการควบคุมเครื่องจักรและกระบวนการตามโปรแกรมควบคุมที่ผู้ใช้เขียนขึ้นได้อีกด้วย
เครื่องป้อนโปรแกรม (Hand Held) แต่ละยี่ห้อจะไม่เหมือนกันแต่มีจุดประสงค์ในการใช้งานที่เหมือนกัน
2.5 การเรียกชื่ออุปกรณ์ควบคุม
จะเรียกชื่อตัวควบคุมตัวนี้ว่า PLC
หรือ PC ถูกต้องกว่า ?
จากหลักการพื้นฐานแล้ว
อุปกรณ์ควบคุมตัวนี้จะทำงานในลักษณะเลขฐานสอง คือ “ปิด”
หรือ “เปิด” “ON”
หรือ “OFF” หรือสัญญาณลอจิก
(Logic) เท่านั้น
แต่ปัจจุบันนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้นต่อไปอีกแล้วคือ สามารถรับและส่งสัญญาณอินพุต
(Input) แบบต่อเนื่อง หรือสัญญาณอนาล็อก
(Analog)ได้ ดังนั้นการเรียกชื่อว่า PLC
จึงไม่น่าถูกต้อง ควรเรียกว่า PC
ถึงจะถูกต้องกว่า (ตัว L
ในตัวย่อ PLC มาจากคำว่า Logic)
อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนของคำว่า PC
ที่เป็นชื่อเรียกของ Personal Computer
จึงยังคงเรียกเป็น PLC เช่นเดิม
2.6 คอมพิวเตอร์กับ PLC
PLC เป็นคอมพิวเตอร์เฉพาะประเภทหนึ่ง
จึงมีโครงสร้างเหมือนคอมพิวเตอร์ แต่มีข้อแตกต่างกันดังต่อไปนี้คือ
1. PLC ถูกออกแบบให้มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมของโรงงานอุตสาหกรรม เช่น ความร้อน ความหนาว ระบบไฟฟ้ารบกวน การสั่นสะเทือน การกระแทก
2. การใช้โปรแกรมของ PLC จะไม่ยุ่งยากเหมือนของคอมพิวเตอร์ PLC จะมีระบบตรวจสอบตัวเอง ทำให้ใช้งานได้ง่ายและบำรุงรักษาง่าย
3. PLC ทำงานตามที่โปรแกรมเอาไว้เพียงโปรแกรมเดียว ทำให้ไม่ยุ่งยาก ส่วนคอมพิวเตอร์จะทำงานที่โปรแกรมหลายๆ โปรแกรมพร้อมกัน จึงมีความยุ่งยากกว่า
4. PLC ใช้ควบคุมกระบวนการผลิตทุกชนิด ทั้งแบบอนาล็อก และแบบลอจิก (ON-OFF)
1. PLC ถูกออกแบบให้มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมของโรงงานอุตสาหกรรม เช่น ความร้อน ความหนาว ระบบไฟฟ้ารบกวน การสั่นสะเทือน การกระแทก
2. การใช้โปรแกรมของ PLC จะไม่ยุ่งยากเหมือนของคอมพิวเตอร์ PLC จะมีระบบตรวจสอบตัวเอง ทำให้ใช้งานได้ง่ายและบำรุงรักษาง่าย
3. PLC ทำงานตามที่โปรแกรมเอาไว้เพียงโปรแกรมเดียว ทำให้ไม่ยุ่งยาก ส่วนคอมพิวเตอร์จะทำงานที่โปรแกรมหลายๆ โปรแกรมพร้อมกัน จึงมีความยุ่งยากกว่า
4. PLC ใช้ควบคุมกระบวนการผลิตทุกชนิด ทั้งแบบอนาล็อก และแบบลอจิก (ON-OFF)
2.7 ความสามารถของ PLC
PLC สามารถควบคุมงานได้ 3 ลักษณะคือ
PLC สามารถควบคุมงานได้ 3 ลักษณะคือ
2.7.1.งานที่ทำตามลำดับก่อนหลัง
(Sequence Control) ตัวอย่างเช่น
(1) การทำงานของระบบรีเลย์
(2) การทำงานของไทเมอร์ เคาน์เตอร์
(3) การทำงานของ P.C.B. Card
(4) การทำงานในระบบกึ่งอัตโนมัติ ระบบอัตโนมัติ หรืองานที่เป็นกระบวนการทำงานของเครื่องจักรกลต่างๆ
(2) การทำงานของไทเมอร์ เคาน์เตอร์
(3) การทำงานของ P.C.B. Card
(4) การทำงานในระบบกึ่งอัตโนมัติ ระบบอัตโนมัติ หรืองานที่เป็นกระบวนการทำงานของเครื่องจักรกลต่างๆ
2.7.2.งานควบคุมสมัยใหม่
(Sophisticated Control)
ตัวอย่างเช่น
(1) การทำงานทางคณิตศาสตร์ เช่น บวก
ลบ คูณ หาร
(2) การควบคุมแบบอนาล็อก (Analog Control) เช่น การควบคุมอุณหภูมิ (Temperature) การควบคุมความดัน (Pressure) เป็นต้น
(3) การควบคุม P.I.D. (Proportional-Intergral-Derivation)
(4) การควบคุมเซอร์โวมอเตอร์ (Sevo-motor Control)
(5) การควบคุม Stepper-motor
(6) Information Handling
(2) การควบคุมแบบอนาล็อก (Analog Control) เช่น การควบคุมอุณหภูมิ (Temperature) การควบคุมความดัน (Pressure) เป็นต้น
(3) การควบคุม P.I.D. (Proportional-Intergral-Derivation)
(4) การควบคุมเซอร์โวมอเตอร์ (Sevo-motor Control)
(5) การควบคุม Stepper-motor
(6) Information Handling
2.7.3.การควบคุมเกี่ยวกับงานอำนวยการ
(Supervisory Control) ตัวอย่างเช่น
(1) งานสัญญาณเตือน (Alarm)
และ Process Monitoring
(2) Fault Diagnostic and Monitoring
(3) งานต่อร่วมกับคอมพิวเตอร์ (RS-232C/RS422)
(4) Printer/ASCII Interfacing
(5) งานควบคุมอัตโนมัติในโรงงานอุตสาหกรรม (Factory Automation Networking)
(6) LAN (Local Area Network)
(7) WAN (Wide Area Network)
(8) FA. , FMS., CIM. เป็นต้น
(2) Fault Diagnostic and Monitoring
(3) งานต่อร่วมกับคอมพิวเตอร์ (RS-232C/RS422)
(4) Printer/ASCII Interfacing
(5) งานควบคุมอัตโนมัติในโรงงานอุตสาหกรรม (Factory Automation Networking)
(6) LAN (Local Area Network)
(7) WAN (Wide Area Network)
(8) FA. , FMS., CIM. เป็นต้น
2.8 ขนาดของ PLC
1. ขนาดเล็ก มีจำนวนอินพุต/เอาต์พุตไม่เกิน
128 จุด
2. ขนาดกลาง มีจำนวนอินพุต/เอาต์พุตไม่เกิน 1024 จุด
3. ขนาดใหญ่ มีจำนวนอินพุต/เอาต์พุตไม่เกิน 4096 จุด
4. ขนาดใหญ่มาก มีจำนวนอินพุต/เอาต์พุต ไม่เกิน 8192 จุด
2. ขนาดกลาง มีจำนวนอินพุต/เอาต์พุตไม่เกิน 1024 จุด
3. ขนาดใหญ่ มีจำนวนอินพุต/เอาต์พุตไม่เกิน 4096 จุด
4. ขนาดใหญ่มาก มีจำนวนอินพุต/เอาต์พุต ไม่เกิน 8192 จุด
2.9 การติดตั้ง PLC
2.9.1.ข้อควรพิจารณาก่อนติดตั้ง
PLC
(1)
พื้นที่ในการติดตั้งมีเพียงพอหรือไม่
(2) จะต้องเผื่อไว้ขยายในอนาคตหรือไม่
(3) การซ่อมบำรุงต้องทำได้ง่าย
(4) อุณหภูมิที่เกิดขึ้นจากเครื่องจักรมีผลกระทบกับ PLC หรือไม่
(5) วิธีการป้องกัน PLC จากสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย
(2) จะต้องเผื่อไว้ขยายในอนาคตหรือไม่
(3) การซ่อมบำรุงต้องทำได้ง่าย
(4) อุณหภูมิที่เกิดขึ้นจากเครื่องจักรมีผลกระทบกับ PLC หรือไม่
(5) วิธีการป้องกัน PLC จากสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย
2.9.2.สภาพแวดล้อมหรือสถานที่ที่ไม่ควรติดตั้ง
PLC
(1) มีแสงแดดส่องโดยตรง
(2) มีอุณหภูมิต่ำกว่า 0° C หรือสูงกว่า 55° C
(3) มีฝุ่น หรือไอเกลือ
(4) มีความชื้นมาก
(5) มีก๊าซที่มีคุณสมบัติกัดกร่อน หรือไวไฟ
(6) สั่นสะเทือนมาก
(2) มีอุณหภูมิต่ำกว่า 0° C หรือสูงกว่า 55° C
(3) มีฝุ่น หรือไอเกลือ
(4) มีความชื้นมาก
(5) มีก๊าซที่มีคุณสมบัติกัดกร่อน หรือไวไฟ
(6) สั่นสะเทือนมาก
2.10.ตู้ควบคุมสำหรับ
PLC
1. ต้องป้องกันไม่ให้ PLC
เสียหายจากการใช้งานหรือจากส่วนอื่นๆ เช่น
จากสิ่งแวดล้อมหรือสิ่งปนเปื้อนในอากาศ เช่น ความชื้น น้ำมัน ฝุ่นผง
ก๊าซที่มีฤทธิ์การกัดกร่อน
2. มีขนาดใหญ่เพียงพอ สะดวกในการเดินสายไฟต่างๆ
3. ควรติดตั้งตู้ PLC ห่างจากแผงควบคุมไฟฟ้าแรงสูงอย่างน้อย 8 นิ้ว
4. มีสายดิน
5. ควรแยกการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าแรงสูง
6. ควรแยกการติดตั้งกับอุปกรณ์ที่มีความร้อนสูง เช่น ฮีทเตอร์ หม้อแปลง หรือตัวต้านทานขนาดใหญ่
7. ไม่ควรให้ PLC ติดตั้งอยู่บนเพดาน หรืออยู่กับพื้น
8. ถ้ามีอุณหภูมิสูงกว่า 60° C ควรติดพัดลมเป่าระบายความร้อน
9. ควรต่อสายดินแยกออกจากอุปกรณ์ไฟฟ้าตัวอื่น คือ สายดินควรมีขนาด 2 ตารางมิลลิเมตร หรือใหญ่กว่า และค่าความต้านทานของสายดินไม่ควรเกิน 100 โอห์ม
2. มีขนาดใหญ่เพียงพอ สะดวกในการเดินสายไฟต่างๆ
3. ควรติดตั้งตู้ PLC ห่างจากแผงควบคุมไฟฟ้าแรงสูงอย่างน้อย 8 นิ้ว
4. มีสายดิน
5. ควรแยกการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าแรงสูง
6. ควรแยกการติดตั้งกับอุปกรณ์ที่มีความร้อนสูง เช่น ฮีทเตอร์ หม้อแปลง หรือตัวต้านทานขนาดใหญ่
7. ไม่ควรให้ PLC ติดตั้งอยู่บนเพดาน หรืออยู่กับพื้น
8. ถ้ามีอุณหภูมิสูงกว่า 60° C ควรติดพัดลมเป่าระบายความร้อน
9. ควรต่อสายดินแยกออกจากอุปกรณ์ไฟฟ้าตัวอื่น คือ สายดินควรมีขนาด 2 ตารางมิลลิเมตร หรือใหญ่กว่า และค่าความต้านทานของสายดินไม่ควรเกิน 100 โอห์ม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น